เมื่อพูดถึงเรื่องการขึ้นเครื่องบินสำหรับคนทั่วไปแล้ว บางคนอาจจะบินจนชิน บางคนยังไม่เคยบินมาก่อน แต่สำหรับเด็กเล็กคงทำให้เหล่าพ่อแม่กังวลไม่ใช่น้อยเลยเพราะต้องเตรียมรับมือกับอะไรหลายๆอย่างที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเดินทางได้
และแน่นอนว่าเราเองก็กังวลมากเพราะจะพาลูกชายบินกลับไทยกันสองคนนี่แหละ …
เรื่องโควิดเองก็ยังเรียกไม่ได้ว่าดีขึ้นนัก แต่ในเมื่อประเทศไทยเริ่มมีแผนเปิดประเทศและไม่มีการกักตัวสำหรับคนที่ฉีดวัคซีนครบโดสอย่างเรา เราจึงตัดสินใจบินกลับไทยพร้อมลูกในช่วงนี้
ทำพาสปอร์ตให้ลูก
การทำพาสปอร์ตให้ลูกครึ่งไทยญี่ปุ่นจะต้องมีติดตัวไว้ 2 เล่ม (ใช้จนถึงอายุ 20 แล้วเลือกสัญชาติใดสัญชาติหนึ่ง) เวลาเดินทางเข้าออกประเทศของลูกต้องสังเกตให้ดีๆว่าควรยื่น ตม ยังไง
1. พาสปอร์ตไทย – สำหรับยื่นออกและเข้าประเทศไทย
2. พาสปอร์ตญี่ปุ่น – สำหรับยื่นออกและเข้าประเทศญี่ปุ่น
พ่อแม่ท่านใดที่คิดจะทำพาสปอร์ตไทยให้ลูกในญี่ปุ่น ขอแจ้งก่อนเลยนะคะว่ามันใช้เวลาสักหน่อย ในเว็บสถานกงสุลไทยได้ระบุไว้ว่าใช้เวลาประมาณ 1 เดือนนับจากวันที่ยื่นเรื่อง (เราไปทำที่โอซาก้าเมื่อ 12 ตุลาคม) ตอนไปทำให้ลูกชาย ก็ได้รับเล่มภายใน 3 อาทิตย์พอดี (ได้เมื่อ 2 พฤศจิกายน) ถือว่าโอเคอยู่ ตอนได้รับเล่มของลูกมาคือดีใจมาก เพราะมันรอนานกว่าเรื่องอื่นๆ … เอาล่ะ ผ่านไปละด่านแรก
ซื้อตั๋วเครื่องบิน
เราเลือกสายการบินไทยเพราะบินประจำและเป็นสมาชิกอยู่แล้ว เราจองตั๋วตามปกติ เลือกบินวันที่ 17 พฤศจิกายน (บินจากโตเกียว สนามบินนาริตะ ไฟลท์รอบ 11.45 น. ถึงไทย 17.00 น.) ครั้งนี้เราแอบตื่นเต้น เพราะไม่ได้บินมานาน 2 ปีเต็ม
ทำการจองโรงแรม
จริงๆเราคุยปรึกษากับแม่และได้เลือกโรงแรมไว้มานานเป็นเดือนแล้ว ตั้งแต่ช่วงที่มีการกักตัว 14 วัน แต่ตอนนี้เหลือเป็นการพักแค่ 1 คืน ซึ่งจะมีการตรวจ PCR เพียงครั้งเดียว (ไปถึงค้างคืนแรก พอเช้าวันต่อมาก็ตรวจและรอผลออกในตอนบ่าย) ถ้าผลเป็นลบก็ได้กลับบ้านเลย เรียกได้ว่าการจองโรงแรมครั้งนี้ประหยัดงบไปเยอะมาก พอจองเสร็จก็ปริ๊นใบจองเอาไว้
ลงทะเบียนผ่านเว็บ Thailand Pass
ต่อไปเป็นการยื่นเอกสารต่างๆเพื่อลงทะเบียนผ่านเว็บ Thailand Pass พอลงทะเบียนเสร็จก็รอเค้าแจ้งอนุมัติ ซึ่งเค้าจะส่งคิวอาร์โค้ดสำหรับเข้าประเทศมาให้ทางอีเมล์ เรารอผลประมาณ 1 อาทิตย์ (ลงทะเบียนเมื่อ 4 พฤศจิกายน ได้คิวอาร์โค้ดเมื่อ 12 พฤศจิกายน) มันแอบช้ากว่าที่คิดแต่ก็ดีใจที่ได้รับอนุมัติ เราปริ๊นใบคิวอาร์โค้ดทั้งของเราและลูกชายเอาไว้ติดตัวเหมือนกัน
ตรวจ PCR ก่อนขึ้นเครื่อง
เนื่องจากเราบินวันที่ 17 เลยนัดตรวจวันที่ 15 เราเลือกที่คลีนิกแห่งนึงในโตเกียว คลิกที่นี่เพื่อดูรายละเอียด ตัวเว็บมีภาษาอังกฤษอยู่ เข้าไปอ่านได้เลยค่ะ
สิ่งที่เรากังวลสำหรับการตรวจ PCR คือต้องตรวจเด็กด้วย (เพราะทางไทยไม่ได้อนุโลมเด็กเล็ก ต้องตรวจทุกคนที่จะบินเข้าประเทศ) คือสงสารลูกที่ต้องโดน swap จมูกแบบนี้ ถึงมันจะแป๊บเดียวก็เถอะ เสียค่าตรวจเท่าผู้ใหญ่อีก เห้อ! แต่ก็ผ่านมาได้ ลูกร้องไห้ไปพักนึงก็หยุด
เรานัดตรวจวันที่ 15 และรับเอกสารรับรองวันที่ 16 (อย่าลืมแจ้งทางคลีนิกตอนนัดวันตรวจด้วยว่าให้ออกเอกสารเป็นภาษาอังกฤษ)
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วจากนี้ก็เหลือแต่เตรียมเอกสารติดตัวไว้ เช็คอินออนไลน์เผื่อเจอจำนวนคนที่ไปเช็คอินที่สนามบินเยอะ และเริ่มออกเดินทางสู่สนามบินเลยค่ะ
เข้าสู่สนามบิน โหลดกระเป๋าเดินทาง
เราได้ทำการเช็คอินออนไลน์ของสายการบินไทยไว้แล้วเลยสบายหน่อยเพราะได้ที่นั่งแน่นอน (เราไม่ได้เลือกเอง แต่ระบบให้ที่นั่งติดหน้าต่าง ซึ่งเราอยากได้พอดี)
ตอนไปที่เคาเตอร์เช็คอินเพื่อโหลดกระเป๋าเดินทางก็ใช้เวลาพอสมควรเพราะต้องแสดงเอกสารที่เราได้เกริ่นไปก่อนหน้าว่ามีพร้อมเข้าประเทศไทยหรือไม่ ยังไงเตรียมเอกสารติดตัวเอาไว้ให้ครบเผื่อก่อนดีกว่านะคะ
ถ้ามีรถเข็นเด็กไปด้วยต้องทำยังไง
อันนี้ต้องสอบถามกับสายการบินเอานะคะ ส่วนการบินไทยที่เราเจอมา พนักงานจะผูกกระดาษเล็กๆติดกับรถเข็นและอีกใบให้เราติดตัวไว้รับรถเข็นตอนถึงไทย พอเราเข้าเกทจนจะขึ้นเครื่องก็มีพนักงานมาเอารถเข็นไปเก็บให้ พอถึงไทยเค้าก็เอาออกมาเตรียมไว้ให้เราไปรับคืน
ตอนขึ้นเครื่องบินลูกมีอาการอะไรบ้างและแก้ปัญหายังไง
อันนี้เราแนะนำอะไรไม่ได้มากนัก บางคนบอกให้เตรียมไอแพดไม่ก็มือถือสำหรับเด็กให้เค้าดูตอนนั่งเครื่องบิน แต่เราไม่มีอุปกรณ์ไรแบบนี้เลย ที่แก้ขัดได้แน่นอนคือเตรียมน้ำ นม ขนมต่างๆไว้ให้เค้ากิน เพราะตอนอยู่บนเครื่องบินจะมีความกดอากาศ หูอาจจะอื้อจนปวดหู ร้องไห้ได้ บางคนแนะนำว่าก่อนขึนเครื่องทำยังไงก็ได้ให้ลูกเหนื่อยไว้ก่อน พอขึ้นเครื่องจะได้หลับไปเลย
ถือว่าจัดการได้โอเค คลายกังวลไปได้บ้าง
และสิ่งที่เราเจอคือลูกหลับตอนเครื่องบินขึ้นพอดี (ไม่ได้ชวนเล่นหรือทำให้เหนื่อยก่อน เพราะเค้าตื่นแต่เช้าเอง) แถมหลับยาว 3 ชม. แน่ะ นี่สบายมาก ดูหนังไปกินขนมไป พอเค้าตื่นก็ให้กินข้าว กินขนม กินน้ำ เล่นนิดหน่อย ดูหน้าจอตรงพนักพิงด้านหน้าเปิดการ์ตูนไป แต่ตอนเครื่องกำลังลงนี่แหละ เค้าร้องไห้ยาว เราอึดอัดมากแต่ก็อุ้มๆกล่อมๆจนเค้าเงียบลงได้ ตอนนั้นใช้เวลานานมาก เหนื่อยจริงๆ
เข้าสู่เมืองไทย … ซะที
พอเราออกจากตัวเครื่องบิน รับรถเข็นเด็กเรียบร้อยก็เดินไปส่วนของ ตม แสดงเอกสารต่างๆที่เรามีทั้งหมดตามที่เจ้าหน้าที่ขอ เค้าก็เช็คและอ่านคิวอาร์โค้ดจนเสร็จ ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ จบเลย จากนั้นก็ไปรับกระเป๋าเดินทาง และรอทางโรงแรมมารับตามกำหนดการ
เราขอไม่เล่ารายละเอียดระหว่างการพักในโรงแรมนะคะ เพราะมันก็คงแตกต่างกันไปตามแต่ละที่ จริงๆก็เจอปัญหาบ้างแหละ ไม่ได้หนักหนาสาหัสเท่าไหร่ แต่ถ้าให้เลือก เราคงไม่ไปค้างอีก เอ๊ะ ยังไง 555555
พอเราค้างโรงแรมคืนนึง เช้าวันต่อมาตรวจ PCR รอผลออกตอนบ่าย ผลเป็นลบ ตอนนั้นพ่อแม่เราก็ไปรับพอดีก็ได้กลับบ้านเลย ตอนนั้นใจเราฟูมากเพราะได้เจอที่ที่คุ้นเคยและครอบครัวที่ไม่ได้เจอกันนานร่วม 2 ปี แถมเอาหลานมาให้เล่นอีก บอกเลยว่าตอนนี้ก็ยังคงเหนื่อยเหมือนเดิมแต่มีคนช่วยดูแลและมีอาหารอร่อยๆคือสบายใจมากค่ะ (;ω;)
เราหวังว่ารายละเอียดต่างๆในบล็อกนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับทุกคนที่เข้ามาอ่านกันนะคะ ขอบคุณที่อ่านจนจบเพราะมันแอบยาวมากมาย … สำหรับคนที่มีแผนจะเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยหรือคนที่อยากกลับบ้านเกิดตัวเอง เราขอให้ทุกคนผ่านด่านต่างๆจนสำเร็จ มีแต่ความสุข ไร้โรคภัยต่างๆนะคะ (๑・̑◡・̑๑)